tag:blogger.com,1999:blog-48784904621736828162024-03-19T04:34:00.372-07:00นีนี้ 2ausanee93@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/01875067173050485106noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-4878490462173682816.post-50072802574015133622007-10-14T03:52:00.000-07:002007-10-14T03:52:28.674-07:00<div align="justify"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiki2GyAUU7xrA1qdY4sLGonawgXZP7zkNmJwqtymkglsuLwvJjy7Gb6WhCp5I1ykfbtDCqx_B6biu6XBgfrWAvo_A5ZWfepRJvcpo0ZfX5ytj6MxskFFyYPW_iObjOxEDp7n9OqqEtDsn-/s1600-h/thdance.jpg"><span style="font-family:courier new;font-size:85%;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5120093900676862610" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiki2GyAUU7xrA1qdY4sLGonawgXZP7zkNmJwqtymkglsuLwvJjy7Gb6WhCp5I1ykfbtDCqx_B6biu6XBgfrWAvo_A5ZWfepRJvcpo0ZfX5ytj6MxskFFyYPW_iObjOxEDp7n9OqqEtDsn-/s320/thdance.jpg" border="0" /></span></a><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"> </span><span style="font-family:courier new;"><span style="font-size:85%;"><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;"><strong>สุนทรียภาพทางดนตรี - นาฏศิลป์</strong></span><br /><br />สุนทรียภาพทางความงามของนาฎศิลป์นั้นประกอบด้วยคุณลักษณที่ดี 5 ประการคือ ตัวละครสวยงาม ท่ารำสวยงาม ขับร้องเพราะ ดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงประกอบการแสดงเพราะ บทกลอนเพราะ และรูปแบบสื่อความหมายโดยเฉพาะท่าทางที่เลียนแบบธรรมชาติ เมื่อมนุษย์ต้องการสื่อความหมายให้เข้าใจ ที่เรียกว่า"ภาษาท่า" เช่น กวักมือเข้า หมายถึง เรียกให้มาหา โบกมือออก เรียกว่า ให้ออกไป เป็นต้น ท่าทางที่เลียนแบบธรรมชาตินี้อาจ จำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ<br /><br />1. ท่าทางที่ใช้แทนคำพูด เช่น ปฏิเสธ เรียก ไป มา ฯลฯ<br /><br />2. ท่าแสดงกิริยาอาการหรืออิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน ฯลฯ<br /><br />3. ท่าที่แสดงอารมณ์ภายใน เช่น รัก โกรธ ดีใจ เสียใจ ฯลฯ<br /><br />ในการร่ายรำท่าต่างๆดังที่กล่าวมานี้ ได้นำมาประกอบบทร้อง เพลงและดนตรี เพื่อต้องการให้เกิดความสวยงามและสง่างามของ ลีลา ท่ารำ โดยอาศัยความงาม ทางศิลปะเข้าช่วย วิธีการใช้ท่าทางประกอบบทร้อง บทพาทย์ และเพลงประกอบดนตรีนี้ทางนาฎศิลป์ เรียกว่า การตีบทหรือการรำบท หรือจะเรียกว่า "ภาษานาฎศิลป์" ก็ได้<br /><br /><br /><br /></span></span><a href="http://www.banramthai.com/image/undaman7.jpg"></a><br /><br /><span style="font-size:85%;"><span style="font-family:courier new;"><span style="font-size:180%;color:#cc0000;">ที่มาของนาฎศิลป์ไทย</span><br /><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.banramthai.com/image/undaman7.jpg" border="0" /><br /></span><span style="font-family:courier new;color:#ffcc33;"><span style="font-size:130%;color:#330099;">ที่มาของนาฏศิลป์ไทยนาฏศิลป์ไทยมีกำเนิดมาจาก</span> </span></span></div><div align="justify"><span style="font-family:courier new;color:#ffcc33;"><br /></span><span style="font-family:courier new;"><span style="font-size:85%;"><strong>๑. การเลียนแบบธรรมชาติ แบ่งเป็น ๓ ขึ้น คือ<br />ขั้นต้น</strong> <span style="color:#663300;">เกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้าอารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้ ก็แสดงออกมาให้เห็นปรากฏ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมือ กระโดดโลดเต้น เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้ ดิ้นรน</span> </span></span></div><span style="font-family:courier new;"><div align="justify"><br /><span style="font-size:85%;"><strong>ขั้นต่อมา</strong> </span></span></div><span style="font-family:courier new;"><span style="font-size:85%;color:#6600cc;">เมื่อคนรู้ความหมายของกิริยาท่าทางมากขึ้น ก็ใช้กิริยาเหล่านั้นเป็นภาษาสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นรู้ความรู้สึกและความประสงค์ เช่น ต้องการแสดงความเสน่หาก็ยิ้มแย้ม กรุ้มกริ่มชม้อยชม้ายชายตา หรือโกรธเคืองก็ทำหน้าตาถมึงทึง กระทืบ กระแทก </span></span><span style="font-family:courier new;"><span style="color:#6600cc;"><div align="justify"><br /></span><span style="font-size:85%;"><strong>ต่อมาอีกขั้นหนึ่ง</strong> <span style="color:#ff0000;">มีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทาง ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง ติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อนรำให้เห็นงาม จนเป็นที่ต้องตาติดใจคน</span> </span></div><div align="justify"><br /><span style="font-size:85%;"><strong>๒. การเซ่นสรวงบูชา</strong> <span style="color:#003333;">มนุษย์แต่โบราณมามีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการบูชา เซ่นสรวง เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา หรือขอให้ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป การบูชาเซ่นสรวง มักถวายสิ่งที่ตนเห็นว่าดีหรือที่ตนพอใจ เช่น ข้าวปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้ จนถึง การขับร้อง ฟ้อนรำ เพื่อให้สิ่งที่ตนเคารพบูชานั้นพอใจ ต่อมามีการฟ้อนรำบำเรอกษัตริย์ด้วย ถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ มีการฟ้อนรำรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรู ต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมา กลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป</span> </span></div><div align="justify"><br /><span style="font-size:85%;"><strong>๓. การรับอารยธรรมของอินเดีย</strong> <span style="color:#000099;">เมื่อไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ๆ นั้น มีชนชาติมอญ และชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนแล้ว ชาติทั้งสองนั้นได้รับอารยธรรมของอินเดียไว้มากมายเป็นเวลานาน เมื่อไทยมาอยู่ในระหว่างชนชาติทั้งสองนี้ ก็มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด ไทยจึงพลอยได้รับอารยธรรมอินเดียไว้หลายด้าน เช่น ภาษา ประเพณี ตลอดจนศิลปการละคร ได้แก่ ระบำ ละครและโขน</span><br /><br /><strong><span style="color:#cc0000;">1. ถ้าคุณค่าหมายถึงคุณสมบัติ เช่น ของเหลว ร่วน แข็ง ก็ย่อมเป็นลักษณะของคุณค่าด้วย?</span></strong></span><br /><br /><span class="style2">ตอบ</span> หากเรากำหนดให้คุณค่าหมายถึง คุณสมบัติดังเช่นตัวอย่าง นั่นก็หมายความว่า คุณสมบัติก็เป็นลักษณะหรือเป็นส่วนประกอบของคุณค่าด้วยเช่นกัน แต่ความเหลว ความร่วน ความแข็ง เป็นสิ่งที่มนุษย์รับรู้ได้จากสิ่งเร้าหรือการรับสัมผัส ตัดสินว่ามันเป็นสิ่งที่เห็นจริง ๆ }<br /><br /><span class="style1" style="color:#cc0000;">2. ถ้าคุณค่าในตัวของมันเองเป็นคนละเรื่องของคุณสมบัติ คุณค่าควรจะอยู่ที่ใด ?</span><br /><br /><span class="style3">ตอบ</span> อยู่ที่อารมณ์และความรู้สึกของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรู้สึกว่าอย่างไรกับสิ่งเร้า แล้วตัดสินใจว่า สิ่งนั้นมีคุณค่าในตัวมันเองหรือไม่<br /><br /><strong><span style="color:#cc0000;"><span class="style1">3. ถ้าคุณค่าของตัวมันเอง หมายถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อสิ่งอื่น</span><br /></span></strong><br /><span class="style3">ตอบ</span> ถ้าคุณค่าหมายถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อสิ่งอื่น นั้นคือ คุณค่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุเพียงอย่างเดียวแต่คุณค่ามีความสัมพันธ์กับจิตใจ คือ ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นลอย ๆ แต่เมื่อสิ่งนั้นเอื้อประโยชน์กับสิ่งอื่น ๆ ก็แสดงว่า สิ่งนั้นมีคุณค่ามีอิทธิพลต่อสิ่งอื่น ๆ หรือมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะด้านบวกและด้านลบก็ตามแสดงว่าคุณค่ามีความสัมพันธภาพกับจิตใจ หรือเกิดจากจิตใจมนุษย์กับวัตถุด้วยเช่นใจ<br /><br /><span class="style1"><span style="color:#cc0000;">4. ถ้าคุณค่าในตัวของมันเองหมายถึงการดำรงอยู่โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด</span> </span><br /><br /><span class="style3">ตอบ</span> ถ้าหากเงื่อนไขบกว่าคุณค่าในตัวของมันเองหมายถึง การดำรงอยู่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดหรือไม่มีผลต่อสิ่งใด ทั้งทางตรงและทางอ้อม คุณค่าในตัวของมันเองก็มีได้เพราะคุณค่าถูกกำหนดจากมนุษย์ขึ้นมาเท่านั้นเอง จะนำมาใช้หรือไม่นำมาใช้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความมีคุณค่าก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่คำกล่าวที่ว่าสรรพสิ่งใดในโลกจะอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีสัมพันธ์กับสิ่งใดนั้นเป็นการแสดงว่า จิตใจเรามีปฏิกริยากับสถานการณ์หรือวัถตุขณะนั้นแล้วเรานำความรู้สึกหรือการได้รับรู้อารมณ์มาปรุงแต่งทำให้เกิดเป็นสัมพันธภาพระหว่างกัน ก็เลยมองว่า ทุกสิ่งในโลกมีความสัมพันธ์ต่อกัน<br /><br /><span style="color:#cc0000;"><span class="style1">5. การพิจารณาปัญหาคุณค่าแบบโดด ๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด</span><br /></span><br /><span class="style3">ตอบ</span> การพิจารณาปัญหาอื่น ๆ กับปัญหาคุณค่าเป็นเพียงการตัดสินในเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ถ้าคิดว่าคุณค่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ๆ กับความหมายว่าปัญหาของมนุษย์มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งแวดล้อมมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ แต่จิตนิยมบอกว่าขึ้นอยู่กับจิตใจและความรู้สึกของคนที่ตัดสินซึ่งไม่เหมือนกันทุกคนบางคนอาจจะคิดว่าเป็นปัญหาของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่บางคนอาจจะคิดว่าปัญหาเกิดขึ้นเพราะเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อมหรือบริบทของสิ่งนั้น<br /><br /><span class="style3" style="color:#ff0000;">สรุป</span><br /><br /><span class="style1" style="color:#ff0000;">จากคำถามทั้งหมดไม่สามารถหาคำตอบได้ตายตัวแน่นอนขึ้นอยู่กับว่าเรากำหนดให้เงื่อนไขนั้นเป็นอย่างไรและมุมมองของแต่ละคนที่แตกต่างกันก็ทำให้ความคิดเห็นของแต่ละคนก็แตกต่างกันด้วย การตัดสินคุณค่าในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกของแต่ละคนวัตถุบางอย่างอาจมีคุณค่ามากสำหรับคนหนึ่งแต่อาจจะหาคุณค่าไม่ได้เลยสำหรับอีกคนหนึ่งก็ได้ คุณค่าของความงามจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจมนุษย์และความสัมพันธภาพกับวัตถุรับสัมผัส ในขณะนั้น</span><br /><br /></span></span></div>ausanee93@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/01875067173050485106noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4878490462173682816.post-76065864710538044772007-10-07T04:05:00.000-07:002007-10-07T04:05:42.075-07:00ความงาม<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtQlVNHBrwdnaMGHyDvrkc9kguqV-l7r9aZ3NsZhg4ZVb-KsRXK2iwJQucAtIrNyKJU4j0EvRcTDNk5nvZlMhJVpk_giugFTBXktE1TmZRUuSt0BAKTSzbMZ3QhQG4vWealtnZrzZxqur0/s1600-h/05102007(011).jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5118547837004353986" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgtQlVNHBrwdnaMGHyDvrkc9kguqV-l7r9aZ3NsZhg4ZVb-KsRXK2iwJQucAtIrNyKJU4j0EvRcTDNk5nvZlMhJVpk_giugFTBXktE1TmZRUuSt0BAKTSzbMZ3QhQG4vWealtnZrzZxqur0/s200/05102007(011).jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#000099;"></span></div><br /><div><span style="color:#006600;"><span style="font-size:130%;"><strong><em>ชื่อ อุษณีย์ ช้อยเครือ</em></strong></span><br /></span><span style="color:#009900;">เกิดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2501<br /></span><span style="color:#000099;">สถานที่ทำงาน โรงพยาบาลบ้านโป่ง ตึกศัลยกรรมชาย </span><br /><span style="color:#000099;">ตำแหน่ง พยาบาลเทคนิค 6</span><br /><span style="color:#3333ff;">ปัจจุบัน นักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี<br />พยาบาลศาสตร์บัณฑิต (ต่อเนื่อง) รุ่นที่ 16<br /></span><span style="color:#000099;"></span><br /><span style="font-family:courier new;color:#330099;"></span><span style="color:#9999ff;"><strong><span style="font-size:130%;color:#003300;"></span></strong></span></div><div><span style="color:#9999ff;"><strong><span style="font-size:130%;color:#003300;">สุนทรียศาสตร์</span></strong> </span><span style="color:#330033;"> มาจากภาษาสันสฤตว่า “ สุนทรียะ ” แปลว่า “ งาม ” และ “ ศาสตร์ ” แปลว่า “ วิชา ” เมื่อรวมความแล้วจึงแปลได้ว่า “ วิชาที่ว่าด้วยสิ่งสวยงาม ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Aesthetics” (เอ็ซเธทถิกส์) โดยศัพท์คำนี้เกิดจากนักปรัชญาเหตุผลนิยมชาวเยอรมันชื่อ โบมกาเต้น ( Alexander Gottlieb Baumgarten ) ซึ่งสร้างคำจากภาษากรีกคำว่า “Aisthetikos” (อีสเธทิโคส) แปลว่า “ รู้ได้ด้วยผัสสะ ”<br />ความงามอาจเป็นสิ่งลึกซึ้งที่มีอยู่ในทุกสิ่ง อาจจะเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่ปราศจากการปรุงแต่ง หรืออาจจะเป็นคุณสมบัติในทางศีลธรรม หรือสิ่งที่โน้มน้าวใจให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ปลาบปลื้ม ความงามอาจมีอยู่รอบๆ ตัวเรา ทั้งสิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาเอง ทั้งสิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติ<br />ศัพท์ Aesthetics ในภาษาอังกฤษกำหนดไว้ให้หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยศิลปะโดยทั่วไป อาจแบ่งเป็นสาขาต่าง ๆ ดังนี้<br />• ประวัติศาสตร์ศิลปะ ( History of Art )<br />• ศิลปวิจารณ์ ( Criticism of Art )<br />• ทฤษฎีศิลปะ ( Theory of Art )<br />• จิตวิทยาศิลปะ ( Psychology of Art )<br />• สังคมวิทยาศิลปะ ( Sociology of Art )<br />• ปรัชญาศิลปะ ( Philosophy of Art )<br /></span>ที่มา : วนิดา ขำเขียว. สุนทรียศาสตร์. กรุงเทพฯ : พรานนกการพิมพ์, 2543.<br /></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiNuCM0x_7AN7_qfdK0A9d45EMl0EPDGcdIeb_iDe4b6-qH5qa0JpQsusAlNz7LwvGzYBQgGfh2poVju82lysCUGds6MlpNruLzHH4VUu2O_avxrQwGxA31fNX9jfL0Uq8LjWHDmruar62Y/s1600-h/Blue+hills.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5114797072129528194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiNuCM0x_7AN7_qfdK0A9d45EMl0EPDGcdIeb_iDe4b6-qH5qa0JpQsusAlNz7LwvGzYBQgGfh2poVju82lysCUGds6MlpNruLzHH4VUu2O_avxrQwGxA31fNX9jfL0Uq8LjWHDmruar62Y/s320/Blue+hills.jpg" border="0" /></a><span style="color:#000066;"> <strong><em><span style="font-size:130%;">สุนทรียศาสตร์ มีประโยชน์อย่างไร</span></em></strong></span><strong><em><span style="font-size:130%;"><br /></span></em></strong><span style="color:#006600;">สุนทรียศาสตร์มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีความงามเป็นสิ่งเร้าที่ทำให้มนุษย์เกิดความรู้สึกพึงพอใจ จึงนับว่ามีประโยชน์หลายประการ คือ ส่งเสริมกระบวนการคิด การตัดสินใจความงามอย่างสมเหตุสมผล ช่วยกล่อมเกลาให้มีจิตใจอ่อนโยน มองโลกในแง่ดีอย่างมีเหตุผล เสริมสร้างประสบการณ์สุนทรียธให้กว้างขวางเพื่อการดำรงอยู่อย่างสันติสุข ส่งเสริมแนวทางในการแสวงหาความสุขจากความงามของสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของสรรพสิ่ง และการบูรณาการเพื่อการประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตประจำวันด้วยเหตุผลและความรู้สึกที่สอดคล้องกัน</span><br /><strong><em><span style="font-size:130%;"><span style="color:#000066;">สุนทรียศาสตร์มีประโยชน์ต่อวิชาชีพพยาบาลอย่างไร </span><br /></span></em></strong><span style="color:#006600;">สุนทรียศาสตร์มีประโยชน์ต่อวิชาชีพพยาบาลดังนี้ เสริมทั้งปัญญาให้เกิดความคิดถึงสัจจะธรรมความไม่เที่ยงแท้ เกิด แก่ เจ็บ ตายของมนุษย์ เกิดความคิดที่ช่วยเตือนสติตนเองให้มีอารมณ์ที่มั่นคง ต้องตั้งมั่นและอย่าหวั่นไหวกับสิ่งที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต เกิดการยอมรับกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นกับทุกคน ทั้งคนรอบข้างและตัวเราเอง ช่วยให้เรารับรู้เรื่องราวต่างๆผ่านสีหน้า ท่าทาง แววตา ผ่านไปถึงผู้ป่วยหรือผู้รับบริการอย่างเหมาะสม ดังนั้นพยาบาลจึงต้องอาศัยสุนทรียศาสตร์ในการประกอบวิชาชีพพยาบาล<br /></span><br /><span style="color:#000066;"></span><br /><span style="color:#000066;"></span>ausanee93@gmail.comhttp://www.blogger.com/profile/01875067173050485106noreply@blogger.com0